วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

บทที่ 3 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเดินทางนักท่องเที่ยว

แรงจูงใจ ของนักท่องเที่ยวแตกต่างกันไปซึ่งเป็นตัวกำหนดบุคคลิกภาพของบุคคลแรงจูงใจของการพัฒนาบุคคลแรงจูงใจทางด้านการท่องเที่ยว
ทฤษฎีต่างๆเกี่ยวกับแรงจูงใจนักท่องเที่ยว
1. ทฤษฎีลำดับขั้นแห่งความต้องการจำเป็น โดยพิจารณาจากทฤษฎีแรงจูงใจของ Maslow คือมนุษย์มีความต้องการและเเสดงทุกอย่างเพื่อต้องการตอบสนองความต้องการ
2. ทฤษฎีขั้นบันไดแห่งการเดินทาง ผู้นำเสนอทฤษฎีนี้คือ Philip Pearce ความต้องการทางด้านการท่องเที่ยวมีความพัฒนาเป็นลำดับขั้นมีความลึกซึ้งซับซ้อนมากขึ้น
3. แรงจูงใจวาระซ่อนเร้น มี 7 ประการ คือ
- การหลีกหนีจากสภาพแวดล้อมที่จำเจ
- การสำรวจและประเมินตนเอง
- การพักผ่อน
- ความต้องการเกียรติภูมิ
- ความต้องการที่จะถอยกลับไปสู่สภาพดั้งเดิม
-กระชับความสำคัญทางเครือญาติ
- การเสริมสร้างการปะทะสังสรรค์ทางสังคม
4. แรงจูงใจในการท่องเที่ยวในทัศนะของ Swarbrooke

ปัจจัยที่ส่งเสริมในการท่องเที่ยวในแต่ละภูมิภาค
การที่คนบนโลกมีสภาพเเวดล้อมที่แตกต่างกันไปจึงทำภูมิทัศน์และเอกลักษณ์ของแตกต่างกันไปด้วย ประกอบด้วยมนุษย์มนุษย์มักต้องการเดินทางท่องเที่ยวไปยังบริเวณต่างๆ ส่งผลให้การเดินทางท่องเที่ยวไปยังบริเวณต่างๆทั่วโลก

บทที่ 2 ประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวจากยุคเริ่มต้นถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

การท่องเที่ยวในยุคกลาง (ค.ศ.500-1500)
เป็นช่วงที่วันหยุดมีบทบาทในชืวิตคนมากขึ้น แต่สำหนับชาวคาทอลิกทั่วไปการหยุดเพื่อการพักผ่อน หมายถึงพักผ่อนจาการไม่ทำงาน ไม่ใช่เดินทางไปไหนมาไหน เเต่ถ้าเปนคนชั้นสูงจะนิยมเดินทางเพื่อแสวงหาบุญปัญหาที่คนยุคกลางเจอในการท่องเที่ยวคือ โจรผู้ร้ายที่คอยออกมาปล้นนักเดินทาง มัคคุเทศก์ในสมัยนั้นจึงเป็นผู้นำทางและเป็ฯผู้ปกป้องนักเดินทาง ผลของการเดินทางแสวงบุญมี 3 ประเด็น คือ
1. มีเป้าหมายของการเดินทางเด่นชัดได้แก่การแสวงบุญ
2. ผลการเดินทางมีความสำคัญและความหมายทางด้านจิตใจเพราะเป็นเหตุการณ์สำคัญแห่งชีวิต
3. ผู้แสวงบุญต้องการให้คนอื่นเห็ฯถึงความสำความสำเร็จแห่งการเดินในรูปของที่ระลึก
การพัฒนาคนการคมนาคมทางถนนในคริสตศตวรรษที่ 17 ถึงต้นศตวรรษที่ 19
คนที่ต้องการเดินทางมี 3 วิธี คือ การเดินทางด้วยเท้าของคนจน วิที่สองคือการขี่ม้า วิธีสุดท้ายคือ ใช้เสลี่ยงแล้วมีคนรับใช้เป็นผู้แบกเป็นวิธีเดินทางของชนชั้นสูงเท่านั้น
ศตวรรษที่18 เริ่มการพัฒนาเป็นรถ 4 ล้อ มีระบบทางด่วนของผู้โยสารโดยมีปรับปรุงพื้นจราจรใหม่
ส่วนการเดินทางระยะไกลๆเรื่องที่พักเป็นสิ่งสำคัญเป็นประเภทinn เป็นที่พักที่เกิดขึ้นมากมายในสมัยนั้น
ในศตวรรษที่ 20 รูปแบบการเดินทางเปลี่ยนไปความนิยมในการเดินทางด้วยรถไฟเริ่มลดลงเพราะคนนิยมเดินทางด้วยรถส่วนตัว มีการกำเนิดอุตสาหกรรมการบินในระยะแรกเป็นจุดบ่งบอกที่สิ้นการเดินทางด้วยรถไฟ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เครื่องบินได้รับการพัฒนามากและดีพอที่จะทำการขนส่งผูโดยสารเป็นการพาณิชย์และเป็ฯการบินระหว่างประเทศ

395 ปี บันทึกของปินโต

ประวัติของปินโต
ปินโตเป็นชาวเมืองมองเตอมูร์เก่า (Montemor-o-velho) ใกล้เมืองกูอิงบรา (Coinbre) ในราชอาณาจักรโปรตุเกส ปินโตเกิดในครอบครัวยากจนระหว่างค.ศ. 1509-1512 เมื่ออายุประมาณ 10 หรือ 12 ขวบจึงต้องเป็นเด็กรับใช้ของสุภาพสตรีผู้หนึ่ง ในค.ศ. 1523 ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตรายจนต้องหลบหนีลงเรือจากเมืองกูแอ ดึ แปดรา (Cue de Pedra) การผจญภัยของปินโตเริ่มขึ้นเมื่อเดินทางไปถึงเมืองดิว (Diu) ในอินเดียในค.ศ.1538 ขณะมีอายุได้ 28 ปี เขาเดินทางกลับมาตุภูมิเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1558 รวมเป็นเวลา 21 ปีของการแสวงโชคในเอเชีย ปินโตเคยเดินทางไปในเอธิโอเปีย จีน อาณาจักรของชาวตาร์ตาร์ (Tataria) โคชินไชนา สยาม พะโค ญี่ปุ่น และหมู่เกาะอินเดียตะวันออกในน่านน้ำอินโดนีเซียปัจจุบันปินโตเคยเผชิญปัญหาเรืออับปาง 5 ครั้ง ถูกขาย 16 ครั้งและถูกจับเป็นทาสถึง 13 ครั้ง ชีวิตในเอเชียของปินโตเคยผ่านการเป็นทั้งกลาสีเรือ ทหาร พ่อค้า ทูตและนักสอนศาสนา (missionary) เมื่อเดินทางกลับไปถึงโปรตุเกสในปีค.ศ.1558 เขาจึงพยายามติดต่อขอรับพระราชทานบำเหน็จรางวัล เนื่องจากได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติและศาสนาอย่างเต็มที่ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากราชสำนัก ปินโตจึงไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองปรากัลป์ (Pragal) ใกล้เมืองอัลมาดา (Almada) ทางใต้ของโปรตุเกส ปินโตเขียนหนังสือชื่อ “Pérégrinação”ขึ้น และถูกตีพิมพ์หลังจากเขาถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1583ปินโตเคยเดินทางเข้าสยาม 2 ครั้ง (กรมวิชาการ, 2531 : 115) ครั้งแรกเข้ามาในปัตตานีและนครศรีธรรมราชก่อนค.ศ.1548 ครั้งที่ 2 เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช (ค.ศ.1534-1546) นักประวัติศาสตร์บางคนนำหลักฐานของฝ่ายไทยเข้าไปตรวจสอบความน่าเชื่อถือในเอกสารของเขาหลายประเด็น และชี้ให้เห็นความคลาดเคลื่อนของศักราชที่เขาอ้างถึงหลังจากปินโตถึงแก่กรรม บุตรีของเขาได้มอบต้นฉบับหนังสือเรื่อง “Pérégrinação” ให้แก่นักบวชสำนักหนึ่งแห่งกรุงลิสบอน ต่อมากษัตริย์ฟิลิปที่ 1 (Philip I of Portugal,1581-1598 และทรงเป็นกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน - Philip II of Spain,1556-1598) ทรงได้ทอดพระเนตรงานนิพนธ์ชิ้นนี้ บุตรีของปินโตจึงได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแทนบิดางานเขียนของปินโตตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1614 และแปลเป็นภาษาต่างๆ อาทิ ภาษาฝรั่งเศส (1628) ภาษาอังกฤษ (1653) ใน ค.ศ.1983 กรมศิลปากรได้เผยแพร่บันทึกของปินโตบางส่วนในชื่อ “การท่องเที่ยวผจญภัยของแฟร์นังด์ มังเดซ ปินโต ค.ศ1537-1558” แปลโดยสันต์ ท. โกมลบุตร ต่อมากรมศิลปากรร่วมกับกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการได้ตีพิมพ์ผลงานบางส่วนของเขาออกเผยแพร่อีกครั้งใน ค.ศ.1988 โดยแปลจากหนังสือชื่อ “Thailand and Portugal : 470 Years of Friendship” งานเขียนของปินโตถูกนำเสนอในรูปของร้อยแก้ว บางตอนก็ระบุว่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาจากคำบอกเล่าและการสอบถามผู้รู้ อาทิ เหตุการณ์เมื่อสมเด็จพระไชยราชาธิราชเสด็จสวรรคต บางตอนก็ระบุว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ด้วยตนเอง เช่น เหตุการณ์เดินทางเข้ามายังสยาม 2 ครั้ง (กรมวิชาการ, 2531: 115) เป็นต้น

ตลาดน้ำอโยธยา








ตลาดน้ำอโยธยา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เกิดขึ้นได้เนื่องจากต้องการให้ พื้นที่เมืองอโยธยาที่ อยู่บริเวณรอบนอกเกาะกรุงศรีอยุธยา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่สะท้อนวิถีชีวิตชาวกรุงเก่า ความเป็นอยู่ของคนเมืองรวยน้ำใจ และ อู่ข้าว อู่น้ำ ที่สำคัญ ซึ่งทุกวันนี้แทบจะหาไม่ได้แล้ว กลับคืนมาอีกครั้ง ภายในตลาดน้ำประกอบด้วยพื้นที่ส่วนที่เป็นน้ำจะอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยพื้นที่บก แบ่งเป็น 16 โซน ตามชื่ออำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดอยุธยา มีทั้งโซนของกินในเรือ จะนั่งรับประทานริมน้ำ หรือจะเดินไปทานไปก็ไม่ว่ากันแล้วแต่สะดวก เรื่องของกินนั้นไม่ต้องห่วงเพราะที่นี่เขาคัดสรรของอร่อยทั่วเมืองไทยมารวมไว้ ส่วนของฝากของที่ระลึกก็มีให้เลือกชมเลือกช็อปมากมาย สไตล์เก๋ไก๋ เดินกี่รอบก็ไม่เบื่อ ซึ่งร้านค้าร้านขายของต่าง ๆ ที่เข้ามาขายส่วนมากก็เป็นคนในพื้นที่ นับเป็นการกระจายรายได้และสร้างอาชีพสู่ชุมชนได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมมากมายทั้งเวทีการแสดงพื้นบ้านต่างๆ รอบตลาด ขี่ช้างชมโบราณสถาน ถ่ายรูปคู่เสือ นั่งรถม้า ขับเอทีวี พายเรือในบริเวณตลาดน้ำ การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย อาทิ โขน รำไทย เพลงฉ่อย เพลงละคร Hilight ยามค่ำคืนกับการแสดง มินิ ไลท์ แอนด์ ซาวน์ วันธรรมดามี 3 รอบ วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 4 รอบ
เรียกได้ว่ามาที่เดียวได้ทั้งอาหารตาและอิ่มท้องในคราวเดียว ที่สำคัญเปิดบริการให้เที่ยวชมทุกวัน ตั้งแต่เช้ายันค่ำ








<<<<<<<<< ร้านของฝาก



















ของฝากจากตลาดน้ำอโยธย>>>>>>>>




การเดินทาง
รถส่วนตัวมุ่งหน้าตามถนนสายเอเชีย เลี้ยวซ้ายเข้าอยุธยาไปตามถนนโรจนะ ขับตรงถึงเจดีย์วัดสามปลื้ม ก่อนขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จากนั้นวนรอบวงเวียนเลี้ยวขวาเข้าทางวัดมเหยงคณ์ จะพบกับทางเข้าตลาดน้ำอโยธยา ซึ่งมีที่จอดรถรองรับกว่า 500 คัน
รถประจำทางขึ้นรถ บขส กรุงเพทฯ-อยุธยา ต่อรถสองแถวที่ตัวจังหวัด ลงปากทางเข้าวัดมเหยงคณ์ และนั่งรถรับจ้างเข้าตลาดน้ำอโยธยา
ตลาดน้ำอโยธยา65/12 หมู่ 7 ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาโทรศัพท์

0-3588-1733เปิด-ปิดเวลา 10.00น.-21.00น.

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

About ME



ชื่อ น.ส.ณัฐิภรณ์ สุวิบูรณ์
ชื่อเล่น นัท
เกิดวันที่ 11 ธันวาคม 2534
เรียน : คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์
สาขา การท่องเที่ยวและการโรงแรม
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
...............................................................................................